วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555

อยากเป็นนักเขียน


อยากเป็นนักเขียนต้องทำยังไง?


นี่คือคำถามที่เด็กรุ่นหลังอยากรู้มากครับ
ดังนั้นนักเขียนมืออาชีพและนักทำหนังสือหลายคนจึงแนะนำไว้ว่า
จง 'เขียนครับ’
ง่ายๆ สั้นๆ 
แต่ดันเป็นเรื่องจริงสุดๆ
ถึงแม้จะอ่านแล้วรู้สึกว่า
อ้าว แล้วยังไงต่อล่ะเนี่ย
โห แค่นี่เองเรอะ
อุตส่าห์ทนรอฟังวิธีเด็ดๆ มาตั้งนาน
แต่คำตอบมีแค่เนี่ย
ครับ ยืนยันอีกทีว่ามีแค่เนี่ยจริงๆ
แม้มันอาจดูใจร้ายไปหน่อย
แต่ก็เป็นจริงที่สุดแล้ว


แต่ว่าสำหรับใครที่ยังอยากเป็นนักเขียน(อยู่)
นอกจากวิธีข้างต้นแล้ว
ผมก็อยากลองแนะนำเพิ่มเติมอีกข้อว่า
‘จงทำงานครับ’ เพิ่มเข้าไปด้วย
หมายความว่า...
ทำงานอะไรก็ได้ครับ
สักงานที่คุณคิดว่าทำได้ดีที่สุด
หากมีคำถามต่อว่าทำไมล่ะ
คำตอบอยู่ตรงนี้ครับ


1.ปู่รงค์ วงษ์สววรค์ เคยเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่สยามรัฐมาก่อน
2.น้าชาติ กอบจิตติ เคยทำกระเป๋าหนังขายพร้อมเขียนหนังสือไปด้วย จนมั่นใจว่ามีที่ทางแล้วจึงออกมาเขียนหนังสืออย่างเดียว
3.ป๋าวินทร์ เลียววาริณ เป็นสถาปนิก 5 ปี หลังจากนั้นทำโฆษณามาตลอด ขนาดได้ซีไรต์มา 2 สมัย ก็ยังไม่หยุดทำโฆษณา จนวันหนึ่งบริษัทที่ทำงานลิกกิจการ แล้วตัวเองขี้เกียจสมัครงาน(ใหม่) จึงมีโอกาสมาเป็นนักเขียนเต็มตัว
4.พี่อ้วน วิรัตน์ โตอารีย์มิตร เคยทำงานนิตยสารมาก่อน หลังจากนั้นถึงกลายมาเป็นคอลัมน์นิสต์ที่งานชุกที่สุดคนหนึ่งของยุค
5.พี่เอ๋นิ้วกลม ยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำโฆษณาไม่หยุด ตั้งแต่การเป็นก๊อปปี้ไรเตอร์ จนตอนนี้กลายมาเป็นผู้กำกับเต็มตัวแล้ว
6.พี่ก้องทรงกลด ยังตั้งใจทำนิตยสารอย่างขะมักขะเม้นทั้งๆ ที่มีต้นฉบับรอปั่นอยู่อีกหลายเล่ม โดยเฉพาะเล่มที่เดินทางไกลในรถไฟสายที่ยาวที่สุดในโลก และโปรเจกต์ที่ชื่อแสนงามอย่าง ‘โปรดอ่านใต้แสงเทียน เพราะผมเขียนใต้แสงดาว’
7.คุณหมอพรทิพย์ เป็นหมอนะครับ แต่ออกหนังสือเยอะกว่าบางคนที่ตั้งใจเป็นนักเขียนอีก
8.นักการตลาดบางคน ไม่ต่างจากคุณหมอพรทิพย์ครับ ไม่ได้เป็นนักเขียนอาชีพ แต่ออกหนังสือไปแล้ว 20 เล่ม
9.รู้จักพี่วิชัย กับ บองเต่า กันใช่ไหมครับ 2 คนนี้ สร้างงานเขียนมากจากการ ‘ทำงาน’ ล้วนๆ นะ
10. นักมวยเหรียญทองโอลิมปิกและดารามีหนังสือเป็นของตัวเองก็เพราะการทำงานล้วนๆ ครับ (ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เรียกเขาว่านักเขียนก็ตาม)

แถมท้ายให้
-ลุงฮารูกิ มูราคามิ ผู้เป็นนักเขียนที่ดังที่สุดในญี่ปุ่น(ยุค 90) ก็เคยทำผับแจ๊สอยู่ 10 กว่าปี นิยายเล่มแรกที่ออกมานี่ว่าด้วยบรรยากาศในบาร์เหล้าเต็มๆ เลยครับ
-ลุงสตีเฟน คิง ราชานิยายสยองขวัญแห่งอเมริกา เคยทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษในเมืองแฮมปเดน ในรัฐเมน(ทั้งๆ ที่อยากเขียนนิยายอย่างเดียวมาตั้งนานแล้ว) แล้ววันหนึ่งเขาก็เขียนนิยายเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านของเด็กหญิงวัยมัธยมคนหนึ่งขึ้น ก่อนขยำทิ้งลงถังขยะไป ทว่าเมื่อภรรยาของเขาหยิบขึ้นมาอ่านดู กลับพบว่าเธอชอบมันมากและอยากให้เขานำไปเสนอสำนักพิมพ์ ซึ่งในท้ายที่สุด ต้นฉบับจากถังขยะดังกล่าว ก็กลายเป็นหนังสือเล่มแรกของลุงเขาที่ถูกประมูลขายด้วยราคาสูงลิบ นิยายเล่มดังกล่าวมีชื่อว่า  Carrie  ครับ



ดังนั้นง่ายๆ ครับ ถ้าใครอยากเป็นนักเขียน นอกจากการ ‘เขียน’ แล้ว จง ‘ทำงาน’ นะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น